EP06 : ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Options (Premium)
Options คือเครื่องมือทางการเงินที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับ “ประกันภัย” อยู่เสมอเพราะมันคือสินค้าที่มีมูลค่า และมูลค่าของมันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาดความต้องการ หากคุณเทรด Options ไม่ว่าจะเป็นการเทรดเชิงกลยุทธ์ หรือการเทรดแบบเก็งกำไร การเข้าใจเรื่องราคา และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคานั้นช่วยให้การเทรดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นในบทนี้เราจะมาทำความเข้าใจ ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Options กัน
ทำไมต้องเข้าใจ “ราคา Options”
- ทำให้สามารถ เก็งกำไร และคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงของราคาได้ง่ายขึ้น
- การวางกลยุทธ์ จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเหมาะสม
- ทำให้รู้ว่า Options นั้นราคาถูก หรือ แพงเกินไป หรือไม่
- สามารถทำ Arbitrage กำไรจากความผิดปรกติของราคาได้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Options (Premium)
Options มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า “ประกัน” เช่น Call Options คือ ใบจอง ที่เราได้รับประกันแน่นอนว่าจะได้ซื้อของที่ต้องการ และ Put Options ที่เราได้รับประกันว่าจะได้ขายของในราคาที่เราต้องการอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประกันแบบไหนการซื้อประกัน ต้องจ่ายเงินก่อนเสมอ ในการเทรดเราเรียกสิ่งที่ต้องจ่ายนี้ว่าค่า Premium นั่นเอง ซึ่งประกันจะถูกหรือแพงนั้นก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในประกันนั้นๆ ซึ่งประกอบไปด้วย
ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) : สัญญาที่มีราคาใช้สิทธิใกล้กับราคาสินค้าอ้างอิงจะมี Premium ที่แพงกว่า สัญญาที่มีราคาใช้สิทธิไกล เนื่องจากโอกาสในการได้เคลม (ได้ใช้สิทธิ) มีมากกว่า เหมือนประกันที่มีคนเคลมเยอะ ก็จะราคาสูง และประกันที่มีโอกาสได้เคลมยากก็จะมีค่าเบี้ยที่ถูกลง
ราคาสินค้าอ้างอิง (Underlying) : สอดคล้องกับเรื่องของราคาใช้สิทธิ (Strike Price) โดยที่การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาสินค้า จะส่งผลโดยตรงกับ Premium นั่นเอง
ความผันผวน (Volatility) : คือความไม่แน่นอนของสิ่งที่อาจเกิดขึ้น ยิ่งมีความไม่แน่นอนมาก ตลาดมีความผันผวนเคลื่อนไหวรุนแรง ผู้คนย่อมอยากได้ประกันจึงทำให้ Premium ราคาแพงขึ้น
เวลา (Time) : อายุความคุ้มครองของสัญญาประกัน ยิ่งเหลือเยอะยิ่งต้องจ่ายเงินเยอะมากขึ้นเพราะยิ่งเวลาเหลือเยอะมากทำให้มีโอกาสโดนเคลมสูง แต่ในทางกลับกัน เวลาก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้ Premium ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ
Options Price Premium = Intrinsic Value + Time Value
การกำหนดราคาของ Premium Options ไม่ได้เกิดจากการมโน หรือคิดขึ้นเอง Options เหมือนกับสินค้าทั่วไปตามท้องตลาดที่มีราคา ตามมูลค่าและความสามารถของมัน และขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานด้วยเช่นกัน
สมมุติว่าราคาของดัชนีหุ้นไทย SET50 อยู่ที่ 1000 จุด Options Call ที่มีราคาใช้สิทธิ 900 จุดต้องมีมูลค่ามากกว่า 100 จุดอย่างแน่นอนเพราะสิ่งนี้หมายความว่าผู้ซื้อสัญญา Long Call Options SET50 900 สามารถซื้อ SET50 ได้ในราคา 900 และขายในราคา 1000 ทันทีจะสามารถทำกำไร 1000 จุดได้ทันที มูลค่าในส่วนนี้จะเรียกว่า Intrinsic Value
คุณสามารถหาค่าของ Intrinsic Value ได้ด้วยการ บวก ลบ ทั่วไป แต่ว่าค่า Intrinsic Value ไม่ได้มีอยู่ใน Options ทุกตัวขึ้นกับราคาใช้สิทธิ (Strike) กับราคาสินทรัพย์อ้างอิง(Underlying) นั่นเอง โดย Options ที่ไม่มี Intrinsic Value เลยจะเรียกว่า OTM Options (Out of the money)
สิ่งที่กำหนดราคา Premium Options อีกส่วนเรียกว่า Time Value คือราคาที่ผู้ซื้อยอมจ่ายเพื่อความคุ้มครองในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ยิ่งสัญญานั้นครอบคลุมช่วงเวลาที่ยาวนานก็ยิ่งต้องจ่ายแพงเพื่อเป็นค่าเสียโอกาสให้กับคู่สัญญา และรวมถึงโอกาส ความน่าจะเป็นที่สัญญานั้นๆจะได้ผล ที่จะส่งผลต่อราคา Premium Options ได้เช่นกัน
สรุปได้ว่าราคาของ Premium Options สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตาม “อุปสงค์อุปทาน” ที่เกิดขึ้นจริงนั่นเอง
ประโยชน์ กับ การเก็งกำไร Options
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าราคา Options ประกอบด้วย Intrinsic Value + Time Value การเลือกเก็งกำไรสัญญาที่มี Intrinsic Value + Time Value เวลาถูกทางจะทำให้ได้กำไรมากกว่าเพราะมูลค่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ตัวแปร และการเลือกเก็งกำไร Options ที่มีแค่ Time Value ที่ปรับตัวลดลงช้ากว่าเวลาผิดทางก็ช่วยให้เราขาดทุนได้ยากกว่าปรกตินั่นเอง
สมมุติให้ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ที่ 25 การเก็งกำไร Options Strike 25 หากถูกทางจะมีอัตราเร่งในการเพิ่มขึ้นของราคาที่สูงกว่าอัตราการถดถอยของราคาทำให้การเก็งกำไรนั้นได้เปรียบกว่าเป็นต้น
สรุป ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของราคา Premium ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้เครื่องมืออย่าง Options ที่มีความได้เปรียบในแต่ละกลยุทธ์ได้นั่นเอง
▶️ ติดตามช่องทางของ Meawbin Investorได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/meawbininvestor
Youtube : https://www.youtube.com/@meawbininvestor
Medium : https://meawbininvestor.medium.com/
